ปาฎิหาริย์ฝ่ามือมิตรภาพ
อนุมูล อิสระ
เมื่อแรกรู้จักกัน ฉันรู้สึกในทันใดว่า ปายเป็นเหมือนเมืองในฝันของหนุ่มสาวคนเมือง เพราะวิถีชีวิตเรียบง่ายกับธรรมชาติงดงามรื่นรมย์ แม้เดินทางไปยาก แต่เสน่ห์ล้ำลึกกลับดึงดูดผู้คนให้ไปเยือนไม่เคยขาด บางคนถึงกับโยกย้ายชีวิตไปอยู่ที่นั่น ดังนั้นเมื่อแรกพบ อุมาจิมูระ หมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดโคจิ ประเทศญี่ปุ่น จึงทำเอาหัวใจฉันพองโตด้วยความตื่นเต้น เพราะเหมือนได้พบเจอเพื่อนเก่าโดยบังเอิญ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความอิ่มเอมใจเมื่อได้เดินลึกเข้าไปในกลางใจหมู่บ้านแห่งนี้
ก็เหมือนที่บอกนั่นแหละ หมู่บ้านเงียบๆ เรียบๆ ออกไปทางนิ่งสงัด ได้ยินบ้างก็เพียงสายน้ำใสไหลเย็นผ่านกลางหมู่บ้าน แต่ก็เป็นไปเพียงแว่วผ่านมาแต่ไกลๆ ธรรมชาติเขียวครึ้มของฤดูฝน เก้าอี้ไม้สำหรับนั่งเล่น ตั้งสงบนิ่งที่ริมตลิ่ง นานๆ จึงมีรถยนต์แล่นสวนทางจักรยานที่ฉันถีบอยู่บ้าง ยังไงก็นึกไม่ออกว่าจะมีอะไรสนุกๆ ให้ทำได้อย่างไร
ฉันมันพวกคนเดินช้าแถมนาฬิกาในสมองยังถ่านอ่อน จนสามารถปล่อยอารมณ์ รอคอยความชื่นบานให้เดินทางมาหาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน อันนี้เป็นความเชื่อส่วนตัวว่า ไอ้ความช้านี่แหละที่ทำให้ประสาทสัมผัสของเราแปรสภาพเป็นดั่งเครื่องสแกนความรู้สึกชั้นดี
หายใจไปเรื่อยๆ เดี๋ยวความสุขก็ปรากฎตัวออกมาเอง
แต่บ้างครั้ง เธอก็จู่โจมเราราวปฎิหาริย์!!
เช้าวันที่เรามีนัดไปตกแต่งต้นไม้เนื่องในวัน ทานาบาตะ วันที่เจ้าหญิงแห่งดาวทอผ้าจะได้ข้ามทางช้างเผือกมาหาชายเลี้ยงวัวคนรัก เด็กๆ ตัวน้อยนักเรียนชั้นอนุบาลของหมู่บ้านมาช่วยกันคนไม้คนละมือ ฉันสมัครใจเป็นตากล้องมือไว กดชัตเตอร์ถ่ายภาพพวกเขาอย่างเมามัน นายแบบนางแบบกิตติมศักดิ์อยู่ตรงหน้านับสิบมีหรือจะยอมพลาด นี่แหละเรื่องสนุกของฉัน
ขณะกำลังนั่งเปลี่ยนฟิล์มม้วนใหม่ มือน้อยๆ ยื่นแผ่นป้ายไม้ซึ่งผูกด้ายพันยุ่งเยิงมาตรงหน้า จากภาษากายบอกฉันว่าเธอต้องการความช่วยเหลือ ฉันปล่อยด้ายให้เป็นอิสระ แล้วผูกวงให้ใหม่เพื่อให้หนูน้อยแขวนมันกลับไปที่ต้นไม้ได้ง่ายขึ้น
อ๊ะ! อ๊ะ! ยังไม่ใช่ตอนสำคัญนั่นนะ รออีกนิดให้พวกเราตกแต่งต้นไม้เสร็จเสียก่อน คุณครูผู้ทุ่มเทส่งเสียงเรียกเด็กๆ เราจะกลับโรงเรียนแล้ว จะชวนพี่ๆ ไปเที่ยวโรงเรียนด้วย ช่วยเดินจูงมือพี่ๆ ไปด้วยนะคะ
สิ้นคำครูฉับพลันฉันรู้สึกอุ่นที่มือ พอหันไปมอง ก็สบตาเข้าอย่างจังกับลักยิ้มน้อยที่แก้มแดงใส และเม็ดตาเล็กๆ สีดำสนิท “หนูจะพาพี่ไปเอง” แววตาแข็งขันเหมือนจะบอกฉันอย่างนั้น
ขณะเดินไปโรงเรียนฉันรู้ว่าวันนี้จังหวะการเดินของฉันเปลี่ยนไป บางก้าวกลายเป็นการโยนตัวลอยน้อยๆ ตามผู้นำทาง สนุกดีแถมยังรื่นรมย์กว่าวันที่ผ่านมาด้วย ฝ่ามือเล็กๆ ในอุ้งมือ ของฉัน เรากุมมือกันแนบสนิท ความสุขไหลผ่านเส้นเลือดใหญ่สู่หัวใจพอดี
แต่มีหรือที่จะหยุดแค่นี้….
ภารกิจของการมาครั้งนี้ คือการติดตาม มุทิตา พานิช น้องสาวที่รู้จักคุ้นเคยกัน ผู้แปลหนังสือ “ประสบการณ์ยิ่งใหญ่ในหมู่บ้านเล็กๆ” ซึ่งเขียนโดย คุณมาซาฮิโกะ โอโตชิ ( จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สวนเงินมีมา) มาร่วมงานเสวนาและงานฉลองของหมู่บ้าน
หนังสือ gokkun umajimura no mura okoshi เป็นความเรียงกึ่งสารคดี เก็บบันทึกการพูดคุยกับคนในหมู่บ้าน และความประทับใจของคุณโอโตชิที่มีต่อหมู่บ้านในหุบเขาแห่งนี้
อุมาจิเป็นหนึ่งในหลายหมู่บ้าน ที่กำลังประสพปัญหาหลักของประเทศญี่ปุ่นปัจจุบัน คือ คนหนุ่มสาวทิ้งบ้านเกิดไปทำงานในเมืองใหญ่ เหลือไว้แต่คนแก่และบ้านที่ไร้คนดูแล
ในหนังสือเล่าว่า อุมาจิเคยเป็นหมู่บ้านอุตสาหกรรมป่าไม้มาก่อน มีการออกแบบกระเป๋าที่ทำจากไม้สน สวยระดับส่งออกเมืองหลวงแห่งแฟชั่นอย่างปารีส ฉันเองยังอดใจไม่ไหวอุดหนุนมาเดินถือเสีย 1 ใบ เหงื่อตกตอนตลบกระเป๋าควักเงินจ่าย แต่ก็ปลื้มหน้าบานตอนใคร ๆ ก็ตาโตชื่นชมความเก๋ เท่ห์ของกระเป๋าไม้สนบ้านอุมาจิกันทุกคน
ที่นี่มีพื้นที่เพาะปลูกน้อย บ้านเกือบทุกหลังจึงปลูกต้นส้มยูสุไว้ทั่วไปตามหน้าผา ส้มซึ่งปกติผู้คนไม่นิยมกิน เพราะรสชาติไม่อร่อยเหมือนผลไม้ทั่วไป มีแต่รสค่อนข้างเปรี้ยวเอามาก ๆ จะมีก็แต่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์ ที่สกัดความหอมของน้ำมันจากเปลือกยูสุมาใช้
เมื่อมีแต่ผู้เฒ่าผู้แก่อยู่เฝ้าบ้าน ต้นส้มเหล่านั้นจึงถูกดูแลไปตามธรรมชาติ ออกผลผลิตมากบ้างน้อยบ้าง แถมรูปร่างที่ได้มาก็ไม่สวย นำออกไปขายก็ไม่ได้ราคา แต่ข้อเสียนี้ทำให้ได้ผลลัพธ์บางอย่าง คือ ยูสุของอุมาจิ กลายเป็นส้มเกษตรอินทรีย์ ไร้สารเคมีทุกขั้นตอน กลับเป็นข้อดีแข็งแรงเหลือเชื่อไปโดยไม่ต้องพยายาม
ลุงโมจิฟูนิ โตตานิ หัวหน้าแผนกธรรมดา ๆ ของสหกรณ์การเกษตรอุมาจิ ผู้ริเริ่มนำส้มเหล่านั้นมาคิดค้นสูตร เป็นเครื่องดื่มหวานอมเปรี้ยวแต่หอมชื่นใจ ตั้งชื่อให้ด้วยว่า ‘กกกุน อุมาจิมูระ’ หรือ ‘เจ้าเอื้อก แห่งบ้านอุมาจิ’ ซึ่งมีที่มาจากเสียงดื่มกลืนน้ำส้มอั้กๆ ของเด็กๆ เมื่อได้ลิ้มลอง เทเอื้อกเดียวหมดขวด เป็นผลิตภัณฑ์ของน้ำส้มยูสุพร้อมดื่มรสหอมสดชื่น ซึ่งดื่มแล้วเบิกบานเป็นที่สุด
อันนี้รับรองได้ด้วยตัวเองเลย ทุกวันที่พักในหมู่บ้าน ฉันเป็นต้องวนเวียนผ่านหน้าตู้แช่ ‘เจ้าเอื้อก’ วันละ 3 รอบเป็นอย่างน้อย ตีคู่มากับเซ็ทอาหารกลางวัน ข้าวญี่ปุ่นหุงเตาถ่าน กับไก่ทอดราดน้ำส้มยูสุแท้ เมื่อกัดกินชิ้นไก่กรอบกำลังดี ควันลอยฉุยพาเอากลิ่นหอมจาง ๆ ของส้มยูสุผสมมาด้วย คือความสุขปลายตะเกียบแท้ ๆ จริง ๆ
เจ้าเอื้อก เป็นพระเอกของหมู่บ้าน ที่นำพาหลายสิ่งให้เดินทางเข้ามา ยิ่งได้ภาพวาดแสนน่ารักของศิลปินบ้านป่า สไตล์อุมาจิแท้ ๆ มาพิมพ์เป็นฉลากปิดขวดยิ่งทำให้น่าสนใจ ศิลปินนักแต่งเพลง ดื่มเจ้าเอื้อกแล้วแต่งเพลงประจำตัวให้ ทำให้ภาพของหมู่บ้านเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
แต่สิ่งหนึ่งที่ลุง และคนในหมู่บ้านยังยึดถือ และพยายามไม่ให้กระแสเศรษฐกิจของสัมคมพัดพาไป คือ กฎของป่าซึ่งมีอยู่ว่า ‘อย่าทำเกินตัว และอย่าทำร้ายตัวเอง’
ด้วยความจำกัดทางภาษา ในตอนท้ายของงานเสวนา ในฐานะแขกผู้มาเยือน ฉันทำได้เพียงบอกเล่าความรู้สึกที่กระทบใจกับบ้านอุมาจิ และการทำงานของสหกรณ์การเกษตร ผ่านทางมุทิตา น้องสาวผู้เป็นทั้งล่ามและเพื่อนร่วมทาง มีความในใจบางอย่างที่ฉันได้ค้นพบ
“ที่นี่ทำให้ฉันศรัทธาในงานของตัวเองมากขึ้น และมันเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำรงอยู่ของความฝัน …ขอบคุณนะคะ”
ก่อนไปงานเลี้ยงฉันได้รับคำเชิญที่ทำเอาตื่นเต้น “พวกเราเตรียมชุดยูกาตะแบบคนญี่ปุ่นไว้ให้ลองใสนะคะ” ฉันแอบตาโตในใจ ก็มันเป็นความใฝ่ฝันเล็กๆ ของผู้หญิง อาจจะหลายคน ๆ เลยล่ะ ซึ่งกำลังจะเป็นจริงนี่นา นึกภาพตัวเองในชุดญี่ปุ่นสีสวยแล้วหัวใจก็เบิกบานคับอกเสียอย่างนั้น
แค่กำลังนั่งดูมุจังแต่งตัวก็ตื่นเต้นเสียแล้ว อีกซักพักก็ถึงคราวของฉัน ใจเต้นตึ้กต้ักดีจัง…
ชุดยูกาตะออกแบบไว้น่าสนใจ เป็นเพียงเสื้อคลุมหลวมๆ ไม่มีกระดุม ไม่มีตัวล็อกใดๆ ที่จะกำหนดขนาดของคนใส่ เมื่อเราสวมเสื้อเข้าไปแล้ว ก็ตลบป้ายตัวเสื้อด้านหน้าทบสลับกันซ้ายขวา ตรงนี้เองที่เราสามารถขยับพับตัวเสื้อให้สั้นยาวตามความสูงของคนใส่ แล้วพันล็อกรอบตัวไว้ด้วยโอบิสีสดตัดกับตัวเสื้อก็เป็นอันเสร็จพิธี รับรองแน่นหนา ไม่ลื่นไหลหล่นร่วงลงมาให้ขายหน้าเป็นแน่
คุณป้าที่โรงแรมรับหน้าที่ช่วยพวกเราแต่งตัว แกว่าเราสองคนเหมาะกับชุดเลยนะ ใส่แล้วน่ารักเหมือนคนญี่ปุ่นเลย ฉันยิ้มแก้มปริ
ขณะพันโอบิแผ่นกว้างให้รอบตัว ต่อด้วยจัดแต่งชุดให้เรียบร้อยสวยงาม มือของป้าขยับเคลื่อนไปตามเนื้อผ้าลายดอกไม้สีน้ำเงินสด จังหวะที่ฝ่ามือของป้าลูบผ่านชายโครงด้านซ้าย หัวใจของฉันรู้สึกอิ่มเอมเอ่อล้นขึ้นมาเสียเฉยๆ ยิ่งตอนได้สบตาป้า รอยยิ้มและแววตานั้นบอกฉันว่า ป้าไม่ได้เพียงมาบริการแต่งตัวให้พวกเราเท่านั้น แต่แกใส่ความเอ็นดูลงไปขณะดูแลพวกเราด้วย
ชุดยูกาตะคืนนั้นจึงทำให้ฉันอุ่นสบาย เพราะนอกจากผ้าสวยเนื้อดีแล้ว ยังมีมิตรภาพของป้าห่มคลุมอยู่ด้วย
คืนนั้นในงานเลี้ยง อาหารที่ฉันชอบมากที่สุดคือ ซูชิผักป่า ถือเป็นอาหารธรรมดาที่ไม่ธรรมดาจริงๆ คุณโทโมโกะ เจ้าหน้าที่ของสหกรณ์การเกษตรบอกฉันว่า “ข้าวปั้นกินตามร้านไม่อร่อยหรอกต้องกินที่บ้าน เพราะเป็นรสมือของแม่ที่ไม่มีใครเหมือน” ถึงตอนนี้ฉันอยากฝากบอกเธอด้วยว่า ฉันโดนเสน่ห์แห่งรสฝ่ามือแบบนั้นมัดใจเข้าให้แล้วอย่างจัง
ในหนังสือ “ประสบการณ์ยิ่งใหญ่ในหมู่บ้านเล็กๆ” พูดถึงอาหารบ้านป่าหลายครั้ง และพูดถึงซูชิของป้าซึมิจังก็หลายหน เพราะความพิเศษของข้าวปั้นที่มีน้ำส้มยูสุแท้ผสมแทนน้ำส้มสายชูทั่ว ๆ ไป จนฉันหมายมั่นปั้นความตั้งใจตั้งแต่เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เดินทางมาครั้งนี้ว่า ต้องขอชิมซูชิของป้าซักครั้งให้จงได้ ใครจะคาดคิดว่าโอกาสเช่นนั้นมีมาถึงฉันมากกว่าหนึ่งมื้ออาหาร
ชิ้นที่พิเศษสุดแม้แต่เพื่อนคนญี่ปุ่นในเมืองไทยยังเอ่ยปากบอกว่า ฉันโชคดีจังที่ได้ชิม ก็คือ ซูชิใส้ก้านวาซาบิ แล้วห่อด้วยใบชิโสะ… ซึโค้ยสุดยอด….โออิชิ อร่อย มาก มาก ขณะเคี้ยวรวม ๆ กันไป ความหวานของข้าวญี่ปุ่นอุ่น ๆ ผสมกลิ่นหอมแปลกจากก้านวาซาบิ กับใบชิโสะที่ปลายจมูก แล้วยังความฉุนเผ็ดของวาซาบิสดลอยขึ้นโพรงจมูกกำลังดี ฉันเต็มใจกลืนกินความฉุนเผ็ดนั้น ด้วยรอยยิ้มปริ่มน้ำตาจริง ๆ
เช้าวันสุดท้ายที่หน้าสำนักงานอบต. ป้าซึมิโกะมายืนรอส่งพวกเราขึ้นรถ พร้อมข้าวปั้นจาน สุดท้ายให้ติดตัวไปกินระหว่างทาง
“มาเที่ยวอีกนะ ป้ารู้ว่ามันต้องใช้เงินมาก แต่ถ้ามีโอกาสมาอีกนะ แต่อย่านานนักนะ เดี๋ยวป้าแก่ไปแล้วจะปั้นซูชิให้กินไม่ไหว”
ฉันโอบกอดป้าเพื่อแอบซ่อนน้ำตาที่กำลังจะไหล แม้ไม่ได้พูดอะไรแต่ฉันก็สัญญากับตัวเองในใจ ว่าต้องกลับมาหาป้าอีกให้ได้
ก่อนขึ้นรถออกจากหมู่บ้าน พวกเราวนกลับมานั่งคุยกับผู้ใหญ่บ้านแห่งอุมาจิมุระอีกครั้ง ในห้องทำงาน ทุกอย่างยังเหมือนเดิมเช่นเมื่อวันแรกที่มาถึง สวนหย่อมเขียวครึ้ม กับก้อนหินที่จัดวางอย่างลงตัวที่นอกบานกระจก เรียบง่ายแต่งดงามตามแบบฉบับญี่ปุ่น แฟ้มเอกสารที่ทำจากไม้สนสีอ่อนเรียงรายในตู้เอกสาร ห้องนี้ยังเป็นห้องทำงานที่น่าอิจฉาเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกของฉันไม่เหมือนเดิม
ผู้ใหญ่บ้านมอบทะเบียนบ้านอุมาจิให้พวกเรา และบอกว่า พวกเขายินดีต้อนรับพวกเราเป็นสมาชิกของหมู่บ้านแห่งนี้ กลับมาอีกเมื่อไหร่ก็ขอให้คิดว่าได้กลับมาเยี่ยมบ้านก็แล้วกันนะ ลุงโตตานิก็บอกขอไม่เก็บค่าที่พัก เพราะลุงรู้สึกเหมือนได้ต้อนรับลูกหลาน มิใช่เพียงแค่นักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านมาเท่านั้น
ด้านหลังโซฟาที่พวกเรานั่งคุยกับผู้ใหญ่ มีข้าวของซึ่งแขกผู้มาเยือนหมู่บ้านหลายคนทิ้งไว้ให้เป็นของที่ระลึก วันไหนคนทำความสะอาดสังเกตดี ๆ อาจเห็นหัวใจลายธงชาติไทยแอบซุกตัวรวมอยู่ด้วย
พวกเราใช้เวลา 6 วัน 6 คืินที่บ้านเจ้าเอื้อก แม้รู้ว่าไม่ใช่เวลานานมากพอที่จะทำให้เราเรียนรู้ใครได้อย่างลึกซึ้ง แต่บางครั้งมิตรภาพก็ไม่่ต้องการเวลานานนี่นา มันเกิดขึ้นเองโดยที่เราไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ตราบเท่าที่เรามองย้อนกลับไปเมื่อไหร่ แล้วอิ่มหัวใจได้ทุกครั้งก็น่าจะเพียงพอ
“ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป” ผู้ใหญ่บอกเราในวันสุดท้ายวันนั้น หมู่บ้านก็ต้องดำเนินไปเช่นกัน
ฉันรู้แต่ว่า สัมผัสของฝ่ามือเหล่านั้นปล่อยฤทธิ์ความอาลัยอาวรณ์ใส่ฉันอย่างจัง ก่อนจะแปรเปลี่ยนไปเป็นพิษความคิดถึงในวันต่อๆ มา
- หมายเหตุ : อุมาจิมุระ เป็นบ้านนอกที่ออกจะเดินทางไปยากสักนิดสำหรับคนที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น แต่ก็มีเว็ปไซน์ให้สำหรับทดลองติดต่อสอบถาม และศึกษาดูการเดินทาง แม้ไม่อาจสื่อสารกันด้วยคำพูด แต่ฉันก็เชื่อมั่นว่า ความมีชีวิตชีวา และความช่างเจรจรของหมู่บ้านแห่งนี้ จะทำให้นักเดินทางคุ้นเคย และสบายใจได้ไม่ยากเลย
https://www.jetro.go.jp/en/ind_tourism/umaji_village.html
และเว็ปไซน์สำหรับเข้าไปเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ของหมู่บ้าน http://www.yuzu.or.jp/