ดาวนับร้อยที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า จะมีไหมหนาที่ลอยอยู่เองเฉยๆ
“หนูขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ผมซึ่งควรจะรับไหว้ แล้วก็ต้อนรับดีๆ กลับตอบเธอไปว่า “พี่ไม่รับฝากนะ” เธออึ้งไป สองวิ เพราะคิดว่า คงไม่เคยมีใครตอบทักทาย เมื่อได้เจอกันครั้งแรกแบบนี้แถมยังเป็น นักร้องหมอลำสาวเสียงพิณ จินตหรา พูนลาภ พอน้องจินอึ้ง แทนที่จะขำๆ แบบโดนพี่หยอกเล่นๆ
ผมก็พลอยอึ้งเองด้วย นึกในใจ…. นี่กูพูดอะไรไปวะนี่ (รับน้องแรงไปหรือเปล่า) (รีบบอกตัวเองว่า คงไม่หรอกนะ แค่ลองเช็คอารมณ์) จินตหรามาเวิร์คพอยท์พร้อมกับทีมงานผู้ติดตาม ครบครัน ทันทีที่เจอเธอก้มไหว้อย่างพินอบพิเทา เดินไปไหว้ทุกคนไม่เว้นนักดนตรี และคนทำงานทุกคนใครมีหน้าที่ อะไรใส่ชุดสต๊าฟ ชุดแม่บ้าน ชุดคนงาน ใครผ่านเข้ามาใกล้ๆเวที ที่เธอกำลังซ้อม เธอไหว้หมด พอจะเริ่มซ้อมร้องเพลงคู่กัน เธอก็ยกมือไหว้อีก
สีหน้าเธอดูกังวล คราวนี้คงคิดว่าหนักใจแน่ เพราะต้องร้องเพลงกับใครที่เธอไม่เคยรู้จักแถมยังทักทายกันไม่เข้าท่า ผมก็เลยต้องพยายามตรวจสร้างความคุ้นเคยแบบคนธรรมดา ถามประโยคที่คนทั่วไปควรจะถาม นักร้องสาวตัวน้อยๆที่มีชื่อเสียงมายาวนาน
ตอนนี้อยู่ค่ายไหน? ….เธอตอบว่า อยู่กับอาร์เอส ผมเลยถามไปเล่นๆว่า “เฮียฮ้อ สบายดีไหม” เธอยิ้มแหยๆแล้ว บอกว่า “สบายดี” (ราวกับเธอเจอเฮียฮ้อบ่อยๆ) คือผมน่ะคิดว่า เธอจะตอบว่า ไม่ค่อยได้เจอหรอกค่ะ เธอจึงเป็นคนที่เราคาดเดาคำตอบยาก และดูขี้เกรงใจ ขี้กังวล ซ้อมร้องเพลงไป เธอก็ขอโทษไปถ้าหนูร้องผิดหนูต้องขอโทษด้วยนะคะกับคนคุมดนตรีเธอก็บอกว่า หนูมือเย็นไปหมดแล้ว
แล้วยื่นมือไปให้….ไม่เชื่อพี่ ลองจับดูสิคะ ส่วนผม ก็ซ้อมไป แบบธรรมดาเพราะว่า เพิ่งจะอยู่ในห้องซ้อม ยังไม่ได้ขึ้นเวทีจริง นึกอยู่ว่า คงจะมีคนมาบอกว่า ต้องเต้นอย่างไร เดินไปทางไหนก็คงตอนที่ ขึ้นซ้อมกันบนเวที ตอนนี้ซ้อมร้องกับเนื้อเพลง เอาจังหวะ ทำนองให้ถูกต้องเสียก่อน
ครั้นพอถึงเวลาซ้อมบนเวทีจริงก็ไม่มีใครมาบอกว่า จะเอายังไง (ทีมงานคงคิดว่า เป็นมืออาชีพ กันแล้ว) เพียงแต่มีทีมงานเอ่ยว่า น่าจะมี ท่าจบเก๋ๆสักท่า ผมก็รอว่า จะมีใครมาบอกไหมว่า ท่าที่ว่านั้น จะเป็นท่าอะไรจึงจะเหมาะจนกระทั่งขึ้นเวที ซ้อมใหญ่พอร้องไป ดนตรีมา ผมก็เลยลอง ออกท่าเต้น กะว่าเต้นแบบคนบ้านนอก ที่เคยเห็นวัยรุ่นเขาเต้นกัน
ปรากฏว่า คนดู หัวเราะร่า แต่จินตหรา หัวเราะยิ่งกว่าคนดูไอ้จะว่าตลกมันก็ไม่ตลกมากนักหรอกเพียงแค่ จินตหรา เธอไม่เคยเห็นผมเต้นมาก่อนเลย จินบอกกับคนอื่นๆว่า ตอนซ้อม เห็นพี่เขาแข็งเหมือนท่อนไม้พอตอนขึ้นเวทีจริง พี่ดูพริ้วเชียวโดยธรรมชาติแล้ว พอเราเต้นอีกคนก็มักจะเต้นตาม
แต่จินตหรา ไม่เต้น กลับมองผมเหมือนตัวประหลาด พอเธอไม่คล้อยตาม ผมก็ไม่รู้จะเต้นอะไรต่อ เลยรำแบบหมอลำ รำวง คิดว่าเธอน่าจะพอรำด้วยได้แต่เธอก็ไม่รำด้วยอยู่ดี บางจังหวะถึงกับเดินหนี พอเธอเดินหนี ผมก็ยกเท้าขึ้นมาด้วยความหมั่นไส้ ละม้ายคล้ายจะ ถีบ คนดูเลยยิ่งขำกันไปใหญ่ รอบซ้อมใหญ่ก็ผ่านไปแบบงงงงฮาฮา (ร้องเพลงจีบกันไปจีบกันมาแล้วมาทำท่าจะถีบ) กว่าจะจบรอบซ้อมใหญ่ ก็ดึกโข เลิกราวๆตีหนึ่ง กว่าจะกลับถึงบ้านตีสองตีสาม นึกว่าตัวเองหนักหนา แต่จินตหรา ต้องไปร้องเพลงในผับต่ออีกงาน
ดาวของฉันเธอว่าห่างไกลลิบๆ แต่ดาวไหนๆมันก็อยู่ไกลกันทั้งนั้น
ผมนั้นสบายใจไปเปลาะหนึ่ง เพราะผ่านรอบซ้อมใหญ่ไปแล้วด้วยดีอาจมีร้องผิดพลาดบ้าง แต่คิดว่าวันจริงน่าจะเอาอยู่ พอรอบการแสดงจริง เราก็เริ่มคุ้นเคยกัน “ยังไง พี่ช่วยหนู ด้วยนะ” ผมรีบตอบว่า …ต้องช่วยกันอยู่แล้วละน่ะ ไม่ต้องห่วง พี่จะคอยพาเดินไปทางโน้นทางนี้ ถ้าอยากตามไป ก็ตาม ถ้าไม่อยากตามก็ไม่เป็นไร จินว่า….พี่ถีบได้เลยนะคะ ไม่เป็นไร ผมบอกว่าทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก เธอบอกว่าได้ไม่เป็นไร หนูไม่ว่า เดี๋ยวหนูจะทำท่าเซถลาให้
ผมว่าขืนพี่ทำอย่างนั้น คนดูเขาจะด่าพี่แน่ เธอแย้งว่า ถ้าเป็นงานในกลุ่มคนดูของเธอคงจะฮาแน่ สรุปว่าการแสดงจริงรอบแรกก็เลยกล้าเกร็งๆ ตอนผมยกมือรำยั่ว เธอตะครุบข้อแขน แล้วบอกให้หยุดรำ แบบเบรคกึกเลย อีกคนจะรำ อีกคนคว้าหมับ แล้วบอกพี่หยุดเหอะ มีคนบอกว่า สนุกดี แต่ยังดูประดักประเดิด เพราะเวลาที่ เดินเข้าไปหา เธอกลับทำท่ากลัวๆ
เวลาผมจะจับจะจูงน้องจิน พี่จุ้ยก็ดูท่าเกร็งๆ เราต่างก็ไม่ค่อยได้คุยกัน ต่างคนต่างแต่งตัว รับไหว้แล้วน้องจินก็เข้าห้องไป พี่จุ้ยเองก็มัวแต่คุยกับคนคุ้นเคย ก็เลยต้องมาหาทางที่จะทำให้มันดีขึ้นโดยการ คุยกับจินว่า ….น้องจินไม่ต้องกังวลนะ พี่อาจจะขอจับมือจับไม้บนเวที แล้วผมก็ยื่นมือไปขอจับมือเธอจริงๆ กุมมือเธอไว้ขณะคุยเพื่อให้เราคุ้นเคยกัน พอออกไปแสดงจริงจะได้ไม่เขินอาย
หรือเธอก็อาจจะรู้สึกเห็นผมเป็นพี่ชาย แทนที่จะเป็นนายกอบต.ที่ดูน่าเกรงขาม รอบต่อไปจึงออกมาค่อนข้างลื่นไหลดี พอพี่จุ้ยเต้นยั่ว น้องจินก็เดินตามมาบ้าง หรือถึงไม่เดินตาม พอจูง น้องก็ไม่แข็งขืนจนเกินงาม ผมก็เลยกล้าออกท่า ออกอาการเสริม เช่นยกมือรำวง รอบๆตัวเธอ เธอก็กล้า เอามือจับมือ แล้วก็บอกว่า พี่อย่าเต้นเลย
เมื่อดาวโคจรมาเจอะกัน ฤดูก็เปลี่ยนผันการหมุนก็ผันแปร
ในขณะที่รู้สึกสบายใจว่า การแสดงเริ่มเข้าขา ได้ใจผู้ชม พอรอบบ่ายวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นรอบรองสุดท้าย ผมก็ออกเสต็ปเพิ่มเข้าไปอีกนิด คราวนี้น้องจินก็ขำธรรมชาติ แต่เนื่องจากว่าผมอยากใช้เวทีให้มัน ทั่วๆ ก็เลยเดินเปลี่ยนทิศไปอีกทาง ไม่อยากให้อีกด้านนึงของเวทีว่างเกินไปคราวนี้ ก็เลยแตกต่างไปจากทิศทางเดิมที่เคยทำไว้ในรอบก่อน จินตหรา หันไปไม่เจอพี่จุ้ย
เธอสงสัย เอ่ยออกมากลางเวทีว่า พี่หายไปไหน แล้วเธอก็หมุนเซๆ เหมือนจะกลับไปเป็นเพลง เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ แล้วเซซบลงไปกับ ลำโพง(มอนิเตอร์) กองอยู่กลางเวที ตอนแรกผมก็คิดว่า แอ็ดติ้งเธอดี แต่เธอนอนนิ่งไปนาน จนดนตรีจะจบท่อนโซโลกลางแล้วก็เธอก็ยังไม่ลุกขึ้นมาคนดูฮา แต่ผมจะทำอย่างไร ผมจำต้องกระตุกดึงเธอลุกขึ้นยืน แต่เธอยังขำร้องไม่ออก ผมเลยต้องร้องรวบทั้งท่อนผู้ชายผู้หญิง
*โขงเจ้าเอยก่อนเคยว่ายไป
*ว่ายทำไม สะพานก็มี
คนดูยิ่งหัวเราะกันเข้าไปใหญ่ ตอนจบผมเลยลากเธอเข้าข้างเวทีไป เหมือนเราหมดสภาพที่จะแสดงกันต่อ นับเป็นรอบที่เสียงฮา สนั่นลั่นห้องประชุม บางคนบอกว่า ควรมีคำเตือนว่า สตรีมีครรภ์ไม่ควรมาชมช่วงนี้ เพราะอาจจะทำให้คลอดบุตรกลางคอนเสิร์ตได้
ผมมาทราบก่อนจะเล่นรอบค่ำ ว่าที่เธอหัวเราะขำกลิ้งนั้น ขำจริง แต่ที่กลิ้งไปซบกับลำโพงนั้น ไม่ใช่แอ็คติ้ง เธอบอกในห้องแต่งตัวว่า หนูไม่ค่อยถนัดรองเท้าส้นสูง พอหมุนไปหมุนมาแสงไฟเข้าตา… หนูงี้วูบไปเลย จากอาการอ่อนล้า ที่ต้องแสดงมาหลายรอบผสมความวิตกกังวลนานา กลัวว่าจะทำผิด พอล้มลงไปแล้ว ก็ทำอะไรต่อไม่ถูก ดีว่าผมลากเธอขึ้นมาไม่งั้นคงนอนซบลำโพงอยู่อย่างนั้น
เธอดึงดูดฉัน ฉันดึงดูดเธอ
ครั้นพอรอบสุดท้าย ผมก็ชักเริ่มกังวลใหม่ คือไอ้ที่กะว่า จะเอาให้มันส์เต็มที่ ทิ้งทวน ก็กลัวว่า น้องจิน จะไปไม่เป็นหนักเข้าไปอีก ก่อนจะออกไปแสดงจริง ผมต้องไป ซ้อมออกเสต๊ปให้เธอดูก่อน ในห้องพักนักแสดงว่า พี่จะเต้นประมาณนี้นะ ขำประมาณนี้ จะได้ทำใจไว้ก่อน ส่วนการเดินเหินบนเวที ก็ไปข้างโน้นบ้าง ข้างนี้บ้าง ช่วยตาม ๆ พี่บ้าง ถ้าไม่ตามก็ไม่เป็นไร
พี่จะมาจูงอย่าให้ถึงกับต้องลากเลยนะ มันจะดูไม่ดี คล้าย ๆ ว่าเริ่มจะระมัดระวังขึ้น เพราะมันมีการบันทึกเสียง บันทึกภาพ เดี๋ยวร้องกันไม่ได้ อัดภาพอัดเสียงไม่ได้ จะไม่มีดีวีดี บันทึกการแสดงสดมาเผยแพร่ กลัวจะกลายเป็นตลก จนเพลงเสีย (ไม่อยากให้มันขำ ขนาดนั้น) จำต้องเพลาๆ ความประหลาดลงบ้าง รอบสุดท้าย ก็เลยคลายความขำความฮาลงมาบ้าง
แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนผสมที่ประหลาดระหว่างจุ้ยกับจินก็ทำให้คนดูเบิกบานยิ้มแก้มปริ
และสองดาวยังเปล่งแสงอันงดงามให้แก่กัน
นอกจากการร้องเพลงคู่แล้ว ผมยังมีหน้าที่จะต้องชวนจินตหราคุยด้วย ไอ้ผมก็แบบ อยากรู้จริงๆ ก็เลยถามว่า ถามจริง รู้จัก คุณประภาสหรือเปล่า รอบแรกเธออึ้งไปแล้วก็บอกว่า รู้ว่าจ้างเธอมาพอรอบต่อมาเธอตอบอย่างดีเลยว่าพี่เขาเป็นนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงเป็นเจ้าของบริษัทและตอนแรก นึกว่า ต้องมาร้องเพลงคู่กับคุณประภาส
ทำไมทำไปทำมาต้องมาร้องเพลงคู่กับพี่ศุ ผมเลยถามต่อว่า แล้วรู้จักไหม ศุ บุญเลี้ยง เธอว่า เคยได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยเห็นหน้า คนดูก็เลยฮากันใหญ่ รอบต่อๆมาผมเองก็รู้จักชีวิตเธอมากขึ้นรู้ว่า หลังจากแสดงตรงเวทีนี้แล้ว บางคืนเธอก็ต้องไปแสดงต่ออีก
ก็อยากจะให้ คนดูเห็นใจเธอมากขึ้น เลยถามว่าที่เสียงแหบนี่ เพราะต้องร้องเพลง ตอนดึกๆใช่ไหม แทนที่เธอจะตอบแบบคนทั่วไป เธอกลับสงสัยแล้วถามผมกลับว่า ทำไมพี่รู้อ่ะ ผมก็เลยต้องตอบเธอแทนว่า สงสัยพี่ฉลาดมั้ง เลยกลายเป็นบทสนทนาที่ฮากันไปทั้งฮอลล์(โรง)
บางรอบผมคุยเยอะ เธอก็ทักท้วงว่า พี่นี่น่าจะเป็นนักพากย์นะ ผมไม่ได้ยินคำว่า นักพากย์มานานปี นึกในใจบนเวทีว่า นักพากย์นี่หมายถึงพิธีกร หรือไร แต่ก็ไม่กล้าถามกลับไป เดี๋ยวจะยาวกันไปใหญ่ เลยรีบสรุปว่า พี่อยากเป็นนักร้อง เรามาร้องเพลงกันเถอะ (คุณอุ้ย ระวิวรรณ จินดาที่พักอยู่ห้องเดียวกับเธอ เล่าให้ฟังว่า เธอเอ่ยชมผมกับเธอว่า พี่เขาก็ร้องเพลงได้ด้วยนะ)
ดาวทุกดวงนั้นย่อมจะแตกต่าง มีเส้นทางหมุนของตัวเอง
ส่วนการพูดคุยบนเวทีรอบสุดท้ายผมพยายามให้เจาะลึกถึงใจน้องจินที่สุดบอกเธอว่า ตอบไปตามธรรมชาตินะแต่ได้ยินพี่เลี้ยงเธอย้ำก่อนขึ้นเวทีว่า จำที่พี่เจี๊ยบสอนไว้ให้ดีนะอ้าว พี่เจี๊ยบวัชระ ไปสอนน้องให้มา ตอบโต้กับผมบนเวที
คราวนี้ จะไปทางไหนกันอีกล่ะนี่ผมพยายามบอกว่า แบบเดิมๆน่ะดีแล้วพี่ถามอะไรไป หนูก็ตอบตรงๆ ซื่อๆ นะ
รอบสุดท้าย บทสนทนาเลยกลายเป็นจินตรา บอกว่า หนูรู้จักแล้ว พี่อยู่วงเฉลียงมีพี่เจี๊ยบ พี่เกียง (จำเกี๊ยงเป็นเกียง) แล้วก็พี่…เธอชี้ผมแล้วบอกว่า พี่จิก ใช่ไหม (อะไรประมาณนั้น) ก็นับว่าเป็นการสนทนา ที่ได้ความรู้ ไปด้วยได้รู้ว่า เธอเป็นลูกครึ่ง คุณพ่อเป็นลาว คุณแม่เป็นคนร้อยเอ็ด
ผมลองแกล้งถามว่า อ้าว งั้นครึ่งนึงของร้อยเอ็ดจะเหลือเท่าไหร่ ซึ่งถ้าเตรียมหรือเตี๊ยมไว้ ก็อาจจะตอบว่า เหลือห้าสิบห้าบาทห้าสิบหรือเหลือเท่าหนูนี่แหละ แต่เนื่องจากไม่ได้เตี๊ยมกัน เธอก็เลยตอบว่าหนูตามมุขพี่ไม่ทัน มันช่างเป็นคำตอบที่แสนซื่อ ยอมรับแบบไม่มีเงื่อนไข
ทุกคนก็เลยรักเธอจนหมดใจ อยากใช้โอกาสนี้ ชี้แจงว่า ไม่ได้มีเจตนาจะแกล้งน้องจินแต่ใดๆ แค่เห็นเธอพะวงกลัวร้องผิดร้องถูก (เพราะต้องร้องเพลงเนื้อใหม่ ดนตรีใหม่ที่ไม่เคยคุ้น ) บรรยากาศและเวที ที่ไม่คุ้นชินนึกถึงตัวเองว่า ถ้าต้องไปรับงานร้องเพลงหมอลำก็คงจะลำบากกับการเอาตัวให้รอด
เพราะฉะนั้นไม่ควรแกล้งน้องแล้ว ก่อนออกจากหลังเวที ยังต้องคอยไปยืนบอกเธอว่าไม่ต้องกังวล ผู้คนเขารักเรา กุมไม้กุมมือแล้วบอกว่า ถ้าร้องเสร็จแล้วมีปัญหา หนูหันหน้ามาข้างเวที พี่จะยืนรอจังหวะอยู่ พอหนูหันมาพี่จะออกไปหาทันทีกระนั้นเธอก็ยังตอบว่า พี่อย่ารอหนูหันหน้าเลยนะ เพราะบางทีหนูก็ไม่รู้จะหันไปทางไหน (เจอแสงสีอาจจะงงว่าข้างเวทีอยู่ทางไหน)
ข้อหาแกล้งน้องจิน นั้นผมต้องปฏิเสธเสียงแข็งตรงนี้ ส่วนที่บอกว่าจุ้ยกับจิน รั่ว หรือ เกรียน อันนี้ก็แล้วแต่จะนิยามกันว่าหมายถึงอะไรส่วนใหญ่ก็พยายามจะสรรหาคำมาชมนั่นแหละ ผมก็น้อมรับคำชมทั้งหลายไว้ ส่วนคำว่า “ขโมยซีน” อันนี้ น่าจะเป็นคำชมที่ผิดพลาด
เพราะโดยมารยาทของนักแสดง คนที่ขโมยซีนคนอื่นนี่ถือว่า เอาประโยชน์จากจังหวะที่ไม่ใช่ของตัวเอง คนอื่นเขาควรจะรับบทเด่นช่วงนั้น แต่ดันไปช่วงชิงมาด้วย จังหวะหรือโอกาสของสถานการณ์ ซึ่งโดยพฤติกรรมแล้วไม่ใช่เรื่องดีที่น่าส่งเสริมเพราะถ้ามีคน ขโมย ก็ต้องมีคนเสียผลประโยชน์
คำชมนี้จึงไม่ ใช่คำชมที่สมควร ชม และ ไม่สมควรรับไว้ แต่ถ้าบอกว่า เป็นจุดพีค เป็นไฮไลค์ เป็นซีนจดจำ ทำหน้าที่ขโมยหัวใจของผู้ชมไปหมดทั้งดวง อันนี้ จึงจะเป็นนับคำชม ที่เต็มใจรับ ผมเองก็ไม่ได้คิด แต่แรกหรอกนะว่าจะทำได้ขนาดนั้นมันคงเป็นส่วนผสมซึ่งแปลกประหลาด เป็นคู่จิ้นที่พิเศษ มีรสชาติอันไม่คุ้นชิน
ผมเชื่อว่า วันนั้นจินตหรา ได้ทำให้คนดูรักเธอมากมาย รักในความซื่อ ความง่าย และฝีมือการร้องที่เปี่ยมคุณภาพ ส่วนผมนั้นได้โคจร มารอบๆดวงดารา รัศมีและรังสี จากเธอจึงฉายแสงมากระทบจนแวววาวไปด้วย อย่างไร เราต่างก็มีเส้นทางหมุนของตัวเอง คงอีกนานแสนนานกว่าเราจะได้โคจรมาเจอกันอีกในจักรวาลของการดนตรี ในเวทีหลากหลาย อาจเป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย ขอบคุณทุก ๆ ฝ่ายที่ทำให้เราได้โคจรมาพบกัน
3 ความเห็น