“คนนี้เหรอที่เป็นคอมมิวนิสต์
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคืออึ้ง พูดอะไรไม่ออก”
ข้อหาคอมมิวนิสต์ในตอนนั้นเป็นข้อหาที่ร้ายแรงมาก และต้องติดคุก แต่จริงๆแล้วก็อาจจะไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกฎหมาย อย่างที่มีการจับคนไปเผาในถังน้ำมัน หรือที่เรียกในสมัยนี้ก็เหมือนกับการอุ้มหาย
เมื่อมานึกทบทวนว่าสาเหตุใดที่ส่อไปทางฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ คิดแล้วก็ได้คำตอบว่า อาจเป็นเพราะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้มีอำนาจในสมัยนั้น
ด้วยความที่เป็นคนเอาความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง จึงอาจไปขวางทางใครเขาบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งตอนนั้นมันเป็นสังคมแบบที่ว่า ถ้ารัฐไม่พอใจใคร คนนั้นก็จะถูกขึ้นบัญชีเป็นคอมมิวนิสต์
ส่วนกรณีที่เรียกได้ว่าไปขวางทางใครนั้น ก็คือการเเป็นตัวตั้งตัวตีสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยความคิดที่ว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในขณะนั้น
ถึงแม้จะสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ก็จริง แต่ก็ไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรค เพราะถ้าต่อไปพรรคไม่ดีก็จะได้ไม่ต้องถูกผูกมัด
“เวลามีฉายหนัง ก็ไปขอแทรกพูดหาเสียง เพราะว่ารู้จักกันกับคนที่จัด ซึ่งเขาก็จะบอกตารางเวลาและบอกว่าจะมีฉายที่ไหนบ้าง เราก็อาศัยตรงนี้ในการช่วยหาเสียง ที่ทำไปนี้ทำด้วยตัวเอง ใช้ทุนตัวเอง”
ผลงานเหล่านั้นย่อมทำให้ผู้ที่มีอำนาจอย่างพรรคมนังคศิลาไม่พอใจ และอาจจะเป็นเพราะสาเฟตุนี้เองที่ทำให้ชื่อของฝังพลไปปรากฏในบัญชีผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์
“ถ้าไปอยู่พื้นที่อื่นอาจโดนยิงตายไปแล้วก็ได้ แต่ก็อยู่มาเรื่อยๆไม่ได้หวาดกลัวอะไร ยังเอาเรื่องนี้ไปเขียนเป้นกลอนเลย ประมาณว่า เขียนกลอนวิพากษ์รัฐบาล”
“คนที่มีชื่อในบัญชีนั้นที่เป็นคนสมุยมีแค่สามสี่คน แต่ทางฝั่งสุราษฎร์ธานีโดนกันเยอะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่นจะรู้ตัวหรือไม่ เพราะเรื่องอย่างนี้เขาไม่พูดกัน ตัวเองก็ไม่ได้เล่าให้คนอื่นฟัง เพราะไม่ใช่เรื่องน่าเล่า พูดไปก็ขาดทุน เพื่อนแถวบ้านก็ไม่มีใครรู้”